tag:blogger.com,1999:blog-86291880762452438132024-03-07T23:35:34.628-08:00comSomZahttp://www.blogger.com/profile/08635563957727217762noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-8629188076245243813.post-62307493933269525782010-01-19T21:43:00.000-08:002010-01-19T21:44:22.814-08:00ความหมายโรคเอดส์ (AIDS หรือ Acquired Immune Deficiency Syndromes) คือ โรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่าคนปกติ<br />A = Acquired หมายถึง สภาวะที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ไม่ได้มีมาแต่กำเนิดI = Immune หมายถึง ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานของร่างกายD = Deficiency หมายถึง ความเสื่อมลงS = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการ หรืออาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะระบบใดระ<br />สาเหตุการเกิดโรคเอดส์ - เพศสัมพันธ์ ชาย - หญิง หรือ ชาย - ชาย - การฉีดยาเสพติดเข้าเส้น - การได้รับเชื้อจากการให้เลือด - การผ่านเชื้อจากมารดาสู่ทารก ระหว่างหรือหลังคลอด - ไม่ทราบสาเหตุ<br /><br />การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น<br /> ก ารวินิจฉัย<br /> การตรวจวินิจฉัยโรค HIV การตรวจวินิจฉัยหาภูมิต่อเชื้อ HIV สามารถทำได้หลายวิธี การตรวจที่ให้ผลเร็วสามารถตรวจจากเลือด น้ำลาย และปัสสาวะ ก่อนการตรวจเลือดผู้ป่วย ควรได้รับการปรึกษา ถึงผลดีและผลเสียของการตรวจรวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นจากการตรวจเช่น ความรู้สึกกลัว หรือซึมเศร้า ปัญหาทางสังคมที่อาจจะเกิดขึ้น ปัญหาการจ้างงานปัญหาการประกันชีวิต ปัญหาการยอมรับของครอบครัว เป็นต้นแต่ การตรวจเลือดหาภูมิต่อเชื้อ HIV มักจะปิดชื่อของผู้รับการตรวจทำให้ปัญหาต่างลดลง<br /> การตรวจ HIV สามารถทำได้หลายวิธีโดยมีความแม่นยำ และราคาต่างๆกัน<br /> การครวจเลือดที่ให้ผลเร็วโดยใช้วิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) วิธีนี้ให้ผลเร็วมีความไวและมีความแม่นยำในการตรวจมีความแม่นยำ (sensitivity and specificity of) 99.9%.หากให้ผลบวกต้องยืนยันการ วินิจฉัยโดยวิธี Western blot or immunofluorescenceassa การตรวจวิธีนี้มีข้อควรระวัง คือ หลังจากได้รับเชื้อจะมีช่วงหนึ่งที่ตรวจเลือด ยังไม่พบภูมิต่อเชื้อ HIV เราเรียกช่วงนี้ว่าwindow period ถ้าหากคนผู้นั้นมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่นใช้เข็มฉีดยาร่วมกันร่วมเพศโดย ที่ไม่ได้ป้องกัน เราต้องรออีก 6 เดือน เพื่อเจาะเลือดอีกครั้ง ยังมีอีกกรณีที่ต้องระวัง คือเมื่อตรวจ ด้วยวิธี ELISA ให้ผลบวกแต่ผลการตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assay ให้ผลบวกหนึ่งแบนกรณีนี้อาจจะเกิดจากwindow period, หรือติดเชื้อด้วยเชื้อ hiv อีกชนิดหนึ่ง เช่น HIV-2 รืออาจจะเกิดจากโรคอื่น นอกจากนั้นการฉีดวัค ซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ Influenza vaccine ก็อาจจะ ให้ผลบวกหลอก การตรวจเลือดหาภูมิหากผลเลือดบวกโดยที่ผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อต้องทดสอบ ซ้ำอีกครั้ง<br /> การตรวจปัสสาวะและเยื่อเมือกในปาก มีความแม่นยำและจำเพาะ 99.5 %หากให้ผลบวกต้องตรวจยืนยันโดยวิธี Western blot or immunofluorescence assa การตรวจเลือดด้วยตัวเอง วิธีการหยดเลือดไว้บนกระดาษแล้วส่งเข้าห้องปฏิบัติการ สามารถรายผลทางโทรศัพท์ มีจำหน่ายตามร้านขายยาแต่มีข้อ ที่ต้องระวังคือ ไม่มีการให้คำแนะนำ สำหรับผู้ป่วย ถ้าผลเลือดบวกผู้ป่วยควรจะได้รับคำแนะนำใน การปฏิบัติตัวผู้ป่วย บางคนอาจจะตัดสินใจทำร้ายตัวเองทั้งที่โรคนี้สามารถควบคุมโรค ไม่ให้ลุกลามได้ ถ้าผลเลือดลบควรจะได้รับคำแนะนำ ในการป้องกันการติดเชื้อ HIV การทดสอบนี้อาจจะให้ผลบวกหลอก ในผู้ป่วยบางราย เพราะไม่ได้มีการคักกรองกลุ่มเสี่ยงเข้า ตรวจ การตรวจหาตัวเชื้อ HIV โดยวิธี HIV RNA (viral load assay) จะตรวจกรณีที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเช่นถูกเข็มฉีดยาจากผู้ป่วยตำ หรือร่วมเพศกับผู้ที่ติดเชื้อ โดยที่ ไม่ได้ป้องกัน และตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันในเลือด การตรวจนี้จะให้ผลบวกก่อนที่ภูมิ จะขึ้น แต่ก็มีข้อผิดพลาด กรณีที่พบเชื้อปริมาณน้อย การตรวจเลือดวิธีนี้จะให้ ผลบวกก่อนที่ภูมิจะขึ้นเราเรียกการติดเชื้อ ชนิดนี้ว่า Primary HIV infection ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญในการให้ยาต้านไวรัส HIV<br />แนวทางการรักษาและการรักษา<br /> การรักษา เมื่อ 5 ปีก่อนผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV ส่วนใหญ่จะเสียชีวิต แต่ปัจจุบันได้มีการ พัฒนารักษาไวรัส รวมทั้งมีการใช้ยาร่วมกันทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยาวขึ้น และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น กว่าก่อน ดังนั้นผู้ที่ ติดเชื้อ HIV ควรจะปรึกษาแพทย์เสียแต่เนินเพื่อวางแผนการรักษา เชื้อ HIV จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันโดยการทำลายเซลล์ CD4 เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็จะเกิดการติดเชื้อฉวย โอกาส การรักษา โดยการให้ยาต้านไวรัสเป็นเพียงหยุดหรือทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวลดลงทำให้ โรคไม่รุกลามจนกลายเป็นเอดส์ ข้อมูลที่จะนำเสนอเป็นข้อมูลสำหรับผู้ป่วยเพื่อวางแผนการรักษา<br /> เลือกแพทย์และโรงพยาบาลที่รักษา<br /> ปัจจัยข้อหนึ่งที่ทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จคือแพทย์ผู้รักษาและโรงพยาบาลทีมงาน ทางการแพทย์ต้องมีคุณภาพ ต้องเข้าใจปัญหาที่ผู้ป่วยต้องประสบอยู่ทุกวัน ต้องวางแผนการ รักษา ให้ความรู้ การป้องกันตัวเอง จากการติดเชื้อ การป้องกันผู้อื่นมิให้ได้รับเชื้อจากตัวผู้ป่วย<br /> ผู้ที่ติดเชื้อมักจะมีปัญหาร่วมด้วย เช่นปัญหาทางด้านจิตใจ ปัญหาเรื่อง ยาเสพติด ปัญหา สุขภาพจิต และปัญหาสังคม ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถ ปรึกษากับทีมงานที่รักษา และต้องไว้ใจ ซึ่งกันและกัน<br /> เข้าใจหลักการรักษา<br /> ผู้ป่วยโรคเอดส์มีปัญหาคือเชื้อ HIV ไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งสร้างโดย CD4 Cell เมื่อเชื้อมีปริมาณมาก เซลล์ CD4 Cell ก็จะต่ำ ควรเริ่มการรักษาก่อนที่ภูมิจะถูก ทำลาย นอกจากดูจำนวน CD4 Cell แล้วยังต้องดู viral load คือดูปริมาณเชื้อที่อยู่ในกระแส เลือดนั้นเอง viral load มากเชื้อในร่างกายก็จะมากอวัยวะก็ถูกทำลายมากและเร็วและยังเกิดการกลายพันธ์ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้ง่าย ดังนั้นเป้าหมายการรักษา จะต้องให้ปริมาณเชื้อ ในร่างกายมีน้อยที่สุด (viral load น้อยที่สุด)<br /> การรักษาจะใช้ยาร่วมกันหลายชนิดเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา โปรดจำไว้ว่าหากเกิดผล ข้างเคียง จากยาที่ใช้รักษาอย่าหยุดยาชนิดใดชนิดหนึ่งโดย ลำพังให้ปรึกษาแพทย์เปลี่ยนยา เพราะอาจจะทำให้เชื้อดื้อยา<br /> การเลือกใช้ยารักษา<br /> การจะเลือกใช้ยารักษาขึ้นกับปัจจัยดังต่อไปนี้<br /> - ปริมาณเซลล์ CD4 และปริมาณเชื้อHIV ( viral load )<br /> - ประวัติการรักษาโรคติดเชื้อ HIV<br /> - ปริมาณยาที่ใช้และราคายา<br /> - ผลข้างเคียงของยา<br /> - การออกฤทธิ์ต้านกันของยา<br /> เมื่อไรจะเริ่มรักษา<br /> ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นเหมือนกันว่าจะเริ่มรักษาโรคเมื่อ ผู้ป่วยมีอาการของโรคเอดส์ เซลล์ CD4 ลดลง มีปริมาณเชื้อมาก(viral load) การรักษาผู้ป่วยจะแยกเป็นกรณี<br /> การรักษาหลังสัมผัสโรคติดเชื้อ HIV ( Post-Exposure Prophylaxis )ผู้ที่ได้รับสัมผัสเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง เช่นการที่เจ้าหน้าที่ถูกเข็มตำ ขณะทำงานโดยที่เข็ม นั้นเปลื้อนเลือดผู้ป่วยHIV การเจาะเลือดหา viral load หรือ antigen หรือ antibody หลังสัมผัสเชื้อHIV จะยังไม่พบ การให้ยาแก่คนที่สัมผัสโรคสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV สำหรับผู้ที่ร่วมเพศกับผู้ที่ไม่ทราบว่าติดเชื้อ HIV หรือไม่ ยังไม่มีรายงาน ว่ามีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อมากแค่ไหน ผู้ที่สัมผัสโรคต้องปรึกษากับแพทย์ ว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ให้ยา และจะให้ยานานแค่ไหน ผลข้างเคียงของยามีอะไรบ้าง<br /> Primary Infection หมายถึงภาวะตั้งแต่เริ่มได้รับเชื้อจนกระทั้งภูมิต่อเชื้อ HIV เพิ่มจนสามารถตรวจพบได้ ระยะนี้มีเวลาประมาณ 12-20 สัปดาห์ หากพบผู้ป่วยระยะนี้ต้อง รีบให้การรักษาโดยเร็ว แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำว่าให้รับประทานตลอดชีวิต แต่บางท่านแนะนำ ให้รับประทานยา 24 เดือนแล้วลองหยุดยา<br /> ผู้ที่ติดเชื้อ HIV โดยที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic Patients with Established Infection ) การรักษาผู้ที่ติดเชื้อซึ่งไม่มีอาการยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่ก็มีคำแนะนำในการรักษาตามตารางข้างล่าง<br /> ระยะของโรค ปริมาณเซลล์CD4+ T-Cell ปริมาณHIV RNA คำแนะนำ มีอาการของ โรคเอดส์(เชื้อราในปาก ไข้เรื้อรัง)เป็นโรคเอดส์<br /> การติดตามการรักษา<br /> ก่อนการรักษาแพทย์จะตรวจจำนวน CD4-T และ viral load (HIV RNA testing) 2 ครั้งเพื่อเป็นค่าไว้สำหรับเปรียบเทียบ<br /> หลังการรักษา 4-8 สัปดาห์แพทย์จะเจาะเลือดอีก<br /> ถ้าได้ผลดีและอาการผู้ป่วยคงที่ก็จะเจาะเลือดทุก 2-4 เดือน<br /> แต่ถ้ามีการลดลงของ CD-T แพทย์ก็จะเจาะเลือดบ่อยขึ้นSomZahttp://www.blogger.com/profile/08635563957727217762noreply@blogger.com0